สมัยปัจจุบัน
สงครามเย็น
สงครามเย็น
สงครามเย็น หนึ่งในสงครามครั้งสำคัญที่ถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์โลก
แม้ว่า สงครามเย็นจะเป็นสงครามที่เกิดจากความขัดแย้งอุดมการณ์ทางการเมือง
แต่มันก็ได้ลุกลามและแผ่ขยายจนสร้างความตึงเครียดไปทั่วโลก สงครามเย็น
เป็นการต่อสู้กันระหว่างกลุ่มประเทศ 2 กลุ่ม ที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองและระบอบการเมืองต่างกันระหว่างกลุ่มประเทศโลกเสรี
นำโดยสหรัฐอเมริกา และกลุ่มประเทศคอมมิวนิสต์ นำโดยสหภาพโซเวียต
ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ช่วงประมาณ ค.ศ.1945-1991 (พ.ศ. 2488-2534)
โดยประเทศมหาอำนาจทั้ง 2 ฝ่ายจะไม่ทำสงครามกันโดยตรง
แต่จะพยายามสร้างแสนยานุภาพทางการทหารของตนไว้ข่มขู่ฝ่ายตรงข้าม
และสนับสนุนให้ประเทศพันธมิตรของตนเข้าทำสงครามแทน
หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าสงครามตัวแทน (Proxy War) เหตุที่เรียก
สงครามเย็น เนื่องจากเป็นการต่อสู้กันระหว่างมหาอำนาจ โดยใช้จิตวิทยา
ไม่ได้นำพาไปสู่การต่อสู้ด้วยกำลังทหารโดยตรง
แต่ใช้วิธีการโฆษณาชวนเชื่อการแทรกซึมบ่อนทำลาย การประณาม
การแข่งขันกันสร้างกำลังอาวุธ และแสวงหาอิทธิพลในประเทศเล็ก
สาเหตุของสงครามเย็น
สงครามเย็นมีสาเหตุมาจากความขัดแย้งทางด้านอุดมการณ์ทางการเมืองของประเทศมหาอำนาจทั้งสอง
คือ สหรัฐอเมริกา และสหภาพโซเวียต ที่ยึดถือเป็นแนวทางในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ
และความขัดแย้งทางด้านผลประโยชน์และเขตอิทธิพล เพื่อครองความเป็นผู้นำของโลก
โดยทั้งสองประเทศพยายามแสวงหาผลประโยชน์และเขตอิทธิพลในประเทศต่าง ๆ
ทั้งนี้เป็นผลมาจากการที่ผู้ยิ่งใหญ่หรือผู้นำทางการเมืองของโลกในสมัยก่อน คือ
อังกฤษ เยอรมนี ได้หมดอำนาจลงภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
ความเป็นมาของสงครามเย็น
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง
โดยเยอรมนีเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ต่อฝ่ายสหประชาชาติ
ทำให้สหรัฐอเมริกาและโซเวียตขาดจุดมุ่งหมายที่จะดำเนินการร่วมกันอีกต่อไป และความขัดแย้งก็เริ่มต้นขึ้นหลังจากทั้งสองประเทศมีมุมมองต่ออนาคตของประเทศในยุโรปตะวันออกและประเทศเยอรมนีแตกต่างกัน
และทำให้เกิดความขัดแย้งทางอุดมการณ์อย่างชัดเจน กล่าวคือ
เกี่ยวกับประเทศยุโรปตะวันออกนั้น ประเทศทั้งสองได้เคยตกลงกันไว้ที่เมืองยัลต้า (Yalta)
เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.1945 ว่า
"เมื่อสิ้นสงครามแล้ว
จะมีการสถาปนาการปกครองระบบประชาธิปไตยในประเทศเหล่านั้น" แต่พอสิ้นสงคราม
โซเวียตได้ใช้ความได้เปรียบของตนในฐานะที่มีกำลังกองทัพอยู่ในประเทศเหล่านั้น
สถาปนาประชาธิปไตยตามแบบของตนขึ้นที่เรียกว่า "ประชาธิปไตยของประชาชน"
ฝ่ายสหรัฐอเมริกาจึงทำการคัดค้าน เพราะประชาธิปไตยตามความหมายของสหรัฐอเมริกา
หมายถึง
"เสรีประชาธิปไตยที่จะเปลี่ยนรัฐบาลได้โดยวิธีการเลือกตั้งที่เสรี"
ส่วนโซเวียตก็ยืนกรานไม่ยอมให้มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ
ส่วนในประเด็นที่เกี่ยวกับประเทศเยอรมนีก็เช่นกัน
เพราะโซเวียตไม่ยอมปฏิบัติการตามการเรียกร้องของสหรัฐอเมริกาที่ให้มีการรวมเยอรมนี
และสถาปนาระบอบเสรีประชาธิปไตยในประเทศนี้ตามที่ได้เคยตกลงกันไว้
ความไม่พอใจระหว่างประเทศทั้งสองเพิ่มมากขึ้น เมื่อประธานาธิบดีทรูแมน (Harry S. Truman) ของสหรัฐอเมริกา
ได้สนับสนุนสุนทรพจน์ของอดีตนายกรัฐมนตรีเชอร์ชิล (Sir. Winston Churchill)
ของอังกฤษ ซึ่งได้กล่าวในรัฐมิสซูรี เมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ.1946 ว่า "ม่านเหล็กได้ปิดกั้นและแบ่งทวีปยุโรปแล้ว
ขอให้ประเทศพี่น้องที่พูดภาษาอังกฤษด้วยกัน ร่วมมือกันทำลายม่านเหล็ก (Iron
Curtain)" ซึ่งหมายความว่า
เชอร์ชิลล์เรียกร้องให้มีการจับขั้วพันธมิตรระหว่างสหรัฐอเมริกากับอังกฤษเพื่อต่อต้านสหภาพโซเวียต
ซึ่งถูกมองว่าเป็นผู้สร้างม่านเหล็กกั้นยุโรป และด้วยสุนทรพจน์นี้เอง
ทำให้ประเทศในโลกนี้แตกออกเป็นสองฝ่ายระหว่างประเทศประชาธิปไตยและคอมมิวนิสต์อย่างชัดเจน
ส่วนปัญหาที่แสดงให้เห็นถึงการแข่งขันในการเป็นผู้นำของโลกแทนมหาอำนาจยุโรปก็คือ
การที่สหรัฐอเมริกาสามารถบังคับให้โซเวียตถอนทหารออกจากอิหร่านได้สำเร็จในปี ค.ศ.1946 ต่อมาในเดือนมีนาคม ค.ศ.1947 อังกฤษได้ประกาศสละความรับผิดชอบในการช่วยเหลือกรีซ และตุรกี
ให้พ้นจากการคุกคามของคอมมิวนิสต์ เพราะไม่มีกำลังพอที่จะปฏิบัติการได้
และร้องขอให้สหรัฐอเมริกาเข้าทำหน้าที่นี้แทน
ประธานาธิบดีทรูแมนจึงตกลงเข้าช่วยเหลือและประกาศหลักการในการดำเนินนโยบายต่างประเทศของสหรัฐอเมริกาให้โลกภายนอกทราบว่า
"……จากนี้ไปสหรัฐอเมริกาจะเข้าช่วยเหลือรัฐบาลของประเทศที่รักเสรีทั้งหลายในโลกนี้ให้พ้นจากการคุกคามโดยชนกลุ่มน้อยในประเทศที่ได้รับการช่วยเหลือจากต่างประเทศ…"
หลักการนี้เรียกกันว่า หลักการทรูแมน (Truman Doctrine)
จากนั้น
สหรัฐอเมริกาก็แสดงให้ปรากฏว่า ตนพร้อมที่จะใช้กำลังทหารและเศรษฐกิจ
สกัดกั้นการขยายอิทธิพลของคอมมิวนิสต์ทุกแห่งในโลก ไม่ว่าจะเป็นทวีปยุโรป เอเชีย
หรือแอฟริกา ทำให้ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1947
ผู้แทนของโซเวียตได้ประกาศต่อที่ประชุมพรรคคอมมิวนิสต์ทั่วโลกที่นครเบลเกรด ประเทศยูโกสลาเวีย
ว่า "โลกได้แบ่งออกเป็นสองค่ายแล้วคือ ค่ายจักรวรรดินิยมอเมริกันผู้รุกราน
กับค่ายโซเวียตผู้รักสันติ…และเรียกร้องให้คอมมิวนิสต์ทั่วโลก
ช่วยสกัดกั้นและทำลายสหรัฐอมริกา…." ฉะนั้น
จึงกล่าวได้ว่าถ้อยแถลงของผู้แทนโซเวียตนี้เป็นการประกาศสงครามกับสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการ
อย่างไรก็ตาม
สงครามเย็นที่มีลักษณะเป็นทั้งการขัดแย้งทางอุดมการณ์และการแข่งขันเพื่อกำลังอำนาจของประเทศมหาอำนาจทั้งสอง
ซึ่งต้องการที่จะเป็นผู้นำโลก ได้เริ่มเปลี่ยนแปลงไปในลักษณะที่ลดความรุนแรง
ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1960 เป็นต้นมา
เนื่องจากได้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองระหว่างประเทศสำคัญ 2 ประการคือ
1. การดำเนินนโยบาย
"การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ" (Peaceful Co-existence) ของประธานาธิบดี นิกิตา ครุสชอฟ (Nikita Khrushchev) ของโซเวียต เนื่องจากเกรงว่าอำนาจนิวเคลียร์ที่โซเวียตและสหรัฐอเมริกามีเท่าเทียมกัน
อาจถูกนำมาใช้ในกรณีที่ความตึงเครียดระหว่างสองฝ่ายมีความรุนแรงขึ้น
นอกจากนี้ยังเชื่อว่าประเทศที่มีลัทธิการเมืองและลัทธิเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน
จะสามารถติตดต่อค้าขายและมีความสัมพันธ์ต่อกันได้
โดยไม่ยุ่งเกี่ยวในกิจการภายในซึ่งกันและกัน ดังนั้น
การต่อสู้ระหว่างค่ายเสรีประชาธิปไตยกับค่ายคอมมิวนิสต์อาจจะเอาชนะกันได้โดยไม่ต้องใช้กำลัง
อย่างไรก็ตาม หลักการอยู่ร่วมกันโดยสันติของโซเวียต
เป็นเพียงแต่การเปลี่ยนจากการมุ่งขยายอิทธิพลด้วยสงครามอย่างเปิดเผยไปเป็นสงครามภายในประเทศและการบ่อนทำลาย
ฉะนั้น ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1963 เป็นต้นมา
สหรัฐอเมริกาและโซเวียตต่างใช้วิธีการทุกอย่างทั้งด้านการทหาร การเมือง
และเศรษฐกิจ ในการแข่งขันกันสร้างความนิยม ความสนับสนุนและอิทธิพลในภูมิภาคต่าง ๆ
ของโลก โดยหลีกเลี่ยงการใช้อาวุธและการประจันหน้ากันโดยตรง
2. ความแตกแยกในค่ายคอมมิวนิสต์ระหว่างโซเวียตกับสาธารณรัฐประชาชนจีน
ซึ่งเริ่มปรากฏตั้งแต่ปี ค.ศ. 1960 เป็นต้นมา
และเมื่อจีนสามารถทดลองระเบิดปรมาณูสำเร็จและกลายเป็นประเทศมหาอำนาจนิวเคลียร์ในปี
ค.ศ. 1964 ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้งสองก็เสื่อมลง
จนถึงขึ้นปะทะกันโดยตรงด้วยกำลังในปี ค.ศ. 1969
จากความขัดแย้งทางด้านอุดมการณ์และการแข่งขันกันเป็นผู้นำในโลกคอมมิวนิสต์
ระหว่างจีนกับโซเวียต มีผลทำให้ความเข้มแข็งของโลกคอมมิวนิสต์ลดน้อยลง
และมีส่วนผลักดันให้จีนเปลี่ยนแปลงนโยบายต่างประเทศ ไปสู่การปรับความสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกาในที่สุด
ตั้งแต่ปี
ค.ศ. 1970 เป็นต้นมา
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมหาอำนาจเริ่มคืนสู่สภาวะปกติ
โดยใช้วิธีการหันมาเจรจาปรับความเข้าใจกัน
ดำเนินนโยบายเกี่ยวกับที่เอื้อต่อผลประโยชน์ และความมั่นคงปลอดภัยของ ประเทศตน
ระยะนี้จึงเรียกว่า "ระยะแห่งการเจรจา" (Era of Negotiation) หรือระยะ "การผ่อนคลายความตึงเครียด" (Detente) โดยเริ่มจากสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน
ซึ่งเป็นผู้ปรับนโยบายจากการเผชิญหน้ากับโซเวียต
มาเป็นการลดความตึงเครียดในความสัมพันธ์ต่อกัน
นอกจากนี้ยังได้เปิดการเจรจาโดยตรงกับสาธารณรัฐประชาชนจีนด้วย
ทั้งนี้เพราะตระหนักว่าจีนได้กลายเป็นมหาอำนาจนิวเคลียร์อีกชาติหนึ่ง
และกำลังจะมีบทบาทมากขึ้นในประเทศด้อยพัฒนา
และประเทศที่เพิ่งเกิดใหม่ทั้งในทวีปเอเชีย แอฟริกา ลาตินอเมริกา และยุโรป
ดังนั้น
ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1971
สหรัฐอเมริกาได้ส่งนายเฮนรี่ คิสชินเจอร์ ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่ชาติ
เดินทางไปปักกิ่งอย่างลับ ๆ เพื่อหาลู่ทางในการเจรจาปรับความสัมพันธ์กับจีน
ซึ่งนำไปสู่การเยือนปักกิ่งของ ประธานาธิบดีนิกสัน ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1972 และได้ร่วมลงนามใน "แถลงการณ์เซี่ยงไฮ้" (Shanghai
Joint Communique) กับอดีตนายกรัฐมนตรีโจว เอินไหล
ซึ่งมีสาระที่สำคัญคือ สหรัฐอเมริกายอมรับว่า รัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน
เป็นรัฐบาลอันชอบธรรมเพียงรัฐบาลเดียวและไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของประเทศจีน
จากนั้นมาทั้งสองประเทศได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตต่อกันในวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1979
นอกจากนี้
สหรัฐอเมริกาและโซเวียต
ได้พยายามที่จะปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างกันในลักษณะที่เป็นการผ่อนคลายความตึงเครียดระหว่างประเทศทั้งสอง
ซึ่งจะเห็นได้จากการเปิดการ เจรจาจำกัดอาวุธยุทธศาสตร์ ครั้งแรกที่กรุงเฮลซิงกิ
ที่เรียกว่า SALT-1 (Strategic Arms Limitation Talks) ในปี ค.ศ. 1972
ซึ่งเป็นการเริ่มแนวทางที่จะให้เกิดความร่วมมือและสันติภาพ
ในปีเดียวกันนี้ประธานาธิบดีนิกสันก็ได้ไปเยือนโซเวียต
ส่วนเบรสเนฟเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ของโซเวียต ก็ได้ไปเยือนสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ.
1973
ต่อมาประเทศทั้งสองได้เจรจาร่วมลงนามในสนธิสัญญาจำกัดอาวุธยุทธศาสตร์ ฉบับที่ 2
(SALT-2) ที่เวียนนา ในวันที่ 18 มิถุนายน
ค.ศ. 1979
ซึ่งมีผลทำให้โซเวียตมีความเท่าเทียมกับสหรัฐอเมริกา
ทั้งทางการเมืองและทางแสนยานุภาพ นอกจากนั้นยังได้รับผลประโยชน์ทางการค้ากับฝ่ายตะวันตกเพิ่มมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม
แม้ว่าโซเวียตจะยอมร่วมมือกับสหรัฐอเมริกาในบางกรณีที่เป็นผลประโยชน์แก่ตน
แต่โซเวียตก็ยังคงดำเนินนโยบายแผ่ขยายอำนาจและอิทธิพลเข้าไปในดินแดนต่าง ๆ
ทั้งในเอเชีย แอฟริกา และลาตินอเมริกา
แต่โซเวียตก็พยายามระมัดระวังไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่งที่จะนำไปสู่การทำลายสภาพการผ่อนคลายความตึงเครียด
ซึ่งจะมีผลทำให้เกิดความขัดแย้งและอาจจะไปสู่สงครามได้
สหรัฐอเมริกาและโซเวียต
ได้พยายามที่จะปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างกัน
วิกฤตการณ์เบอร์ลิน
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลงในปี ค.ศ. 1945
เยอรมนีแบ่งออกเป็น 4 ส่วน โดยสนธิสัญญาปอทสดัม (Treaty of Potsdam) นั้น ได้ให้ประเทศมหาอำนาจตะวันตก คือ
สหรัฐอเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศส ครอบครอง 3 ส่วนร่วมกันเรียกว่าเยอรมนีตะวันตก
ขณะที่อีกส่วนหนึ่งให้โซเวียตปกครองเรียกว่า เยอรมนีตะวันออก
ทำให้กรุงเบอร์ลินนครหลวงแบ่งออกเป็น 2 ส่วน
ส่วนที่ถูกยึดครองโดยฝ่ายพันธมิตรตะวันตกเรียกว่า เบอร์ลินตะวันตก
ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1948
โซเวียตได้ปิดกั้นเส้นทางคมนาคมทางบกที่ผ่านไปยังเบอร์ลินตะวันตก ทำให้พันธมิตร 3
ชาติ ไม่สามารถส่งอาหารและสินค้าต่าง ๆ ไปยังเบอร์ลินตะวันตกได้
เพื่อบังคับให้มหาอำนาจตะวันตกละทิ้งเบอร์ลิน การปิดล้อมครั้งนี้ใช้เวลาเกือบ 1 ปี
โดยพันธมิตร 3 ประเทศได้ช่วยกันใช้เครื่องบินลำเลียงสิ่งของ เช่น อาหาร เสื้อผ้า
และยารักษาโรคให้แก่ชาวเบอร์ลินตะวันตก
เหตุการณ์ดังกล่าวนำไปสู่การแบ่งแยกเยอรมนีเป็น 2 ประเทศ และแบ่งเบอร์ลินเป็น 2
ส่วนอย่างถาวร เรียกว่าวิกฤตการณ์เบอร์ลิน
วิกฤตการณ์เบอร์ลิน
โดยอังกฤษ
สหรัฐอเมริกา และฝรั่งเศสได้รวมเขตการปกครองของตนเข้าด้วยกันเป็นประเทศเอกราชเรียกว่า
สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี (เยอรมนีตะวันตก)
ฝั่งโซเวียตก็สถาปนาเขตที่ตนเองปกครองเรียกว่า สาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนี
(เยอรมนีตะวันออก) เมื่อแบ่งประเทศแล้ว
ชาวเยอรมันตะวันออกได้อพยพมาอยู่ในเขตตะวันตกมากขึ้นตลอดเวลา ทำให้โซเวียตต้องสร้างกำแพงยาวกว่า
27 ไมล์ กั้นระหว่างเบอร์ลินใน ค.ศ.1961 เรียกว่า กำแพงเบอร์ลิน
กำแพงเบอร์ลินถือเป็นสัญลักษณ์สำคัญหนึ่งของสงครามเย็น และถูกทำลายไปเมื่อ
ค.ศ. 1989 ขณะที่ มิฮาอิล กอร์บาชอฟ ประธานาธิบดีของสหภาพโซเวียต
ยินยอมให้เยอรมนีทั้งสองตัดสินใจอนาคตตนเอง โดยสหภาพโซเวียตจะไม่เข้าแทรกแซง
ภายหลังจึงมีการรวมเยอรมนีเป็นประเทศเดียวกันอย่างเป็นทางการ เรียกว่า
สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี
ทั้งนี้
ถือได้ว่าวิกฤตการณ์เบอร์ลิน
เป็นผลทำให้สภาวการณ์เผชิญหน้ากันในสงครามเย็นทวีความตึงเครียดยิ่งขึ้น และมีการร่วมมือกันของกลุ่มประเทศในยุโรปตะวันตกกับสหรัฐอเมริกา
และประเทศเสรีประชาธิปไตย
เพื่อขจัดการแทรกแซงและขยายอิทธิพลของลัทธิคอมมิวนิสต์กันเป็นระบบ เช่น
สหรัฐอเมริกาได้ร่วมมือกับประเทศโลกเสรีก่อตั้งองค์การสนธิสัญญาทางทหาร เช่น
องค์การนาโต้ องค์การซีโต้ องค์การนานารัฐอเมริกาตลอดรวมถึง
การตั้งฐานทัพสหรัฐอเมริกา ใน เกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ ไทย
และประเทศอื่นอีกหลายประเทศทั่วโลก
วิกฤตการณ์คาบสมุทรเกาหลี
ก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง
คาบสมุทรเกาหลีได้ตกอยู่ภายใต้การยึดครองของญี่ปุ่น
แต่เมื่อญี่ปุ่นยอมแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี ค.ศ. 1945 คาบสมุทรเกาหลีได้ถูกแบ่งออกเป็น 2
ส่วนที่เส้นขนานที่ 38 องศาเหนือ
โดยโซเวียตควบคุมดูแลดินแดนส่วนเหนือหรือเกาหลีเหนือ
และสหรัฐอเมริกาดูแลดินแดนทางใต้ของเส้นขนานที่ 38 เรียกว่า
เกาหลีใต้
วิกฤตการณ์คาบสมุทรเกาหลี
ในปี ค.ศ. 1948 ทั้งสองฝ่ายได้เริ่มถอนทหารออกจากดินแดนดังกล่าว ทั้งนี้
เกาหลีเหนือมีรัฐบาลคอมมิวนิสต์ภายใต้การนำของ คิม อิล ซุง
ส่วนในเกาหลีใต้นั้นมีการปกครองในแบบประชาธิปไตยภายใต้การสนับสนุนของสหรัฐอเมริกา
ต่อมาในวันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ. 1950 เกาหลีเหนือซึ่งได้รับการสนับสนุนจากโซเวียต
ได้โจมตีเกาหลีใต้เพื่อรวมเกาหลีทั้งหมดให้อยู่ภายใต้คอมมิวนิสต์ โดยคิดว่า
สหรัฐอเมริกาคงจะไม่ปกป้องเกาหลีใต้ เพราะผู้นำของสหรัฐอเมริกาได้เคยประกาศว่า
แนวป้องกันของสหรัฐอเมริกาจะอยู่ที่หมู่เกาะชายฝั่งตั้งแต่ญี่ปุ่นถึงฟิลิปปินส์
แต่เมื่อกองทัพของเกาหลีเหนือรุกผ่านเส้นขนานที่ 38
ลงสู่เกาหลีใต้อย่างรวดเร็ว
สหรัฐอเมริกาได้มองการโจมตีครั้งนี้ว่าเป็นการท้าทายของฝ่ายคอมมิวนิสต์และเป็นการพยายามที่จะขยายอิทธิพลของฝ่ายคอมมิวนิสต์เข้ามาในเอเชีย
สหรัฐอเมริกาได้ประท้วงการรุกรานเกาหลีใต้ต่อคณะมนตรีความมั่นคงและองค์การสหประชาชาติ
ซึ่งได้มีมติให้ดำเนินการตอบโต้ โดยกำลังทหารของสหประชาชาติและของสหรัฐอเมริกา
ซึ่งอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของพลเอกแมคอาร์เธอร์
ได้โจมตีกำลังของฝ่ายเกาหลีเหนือจนถอยร่นไปถึงเส้นขนานที่ 38 ทำให้ผู้นำของสาธารณรัฐประชาชนจีนออกแถลงการณ์เตือนมิให้กำลังของฝายสหประชาชาติและของสหรัฐอเมริกาล่วงล้ำเลยเข้าไปในดินแดนเกาหลีเหนือ
มิฉะนั้นจีนจะเข้าสู่สงครามด้วย เพราะจีนเกรงว่าถ้าเกาหลีเหนือถูกยึดครอง
จีนจะขาดรัฐกันชน และเป็นการคุกคามความมั่นคงปลอดภัยของจีน
แต่ทว่า กองกำลังของสหประชาชาติไม่สนใจคำเตือนของจีน
ตัดสินใจรุกข้ามเส้นขนานที่ 38
จีนจึงส่งกองกำลังข้ามพรมแดนจีนที่แม่น้ำยาลู เข้าสู่คาบสมุทรเกาลีในเดือนตุลาคม
ค.ศ. 1950 และปะทะกับทหารสหประชาชาติในเดือนพฤศจิกายน
การสู้รบเป็นไปอย่างยืดเยื้อโดยไม่มีฝ่ายใดได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาด
แม้ว่าจีนจะสูญเสียกำลังเป็นอย่างมาก
ขณะที่ประธานาธิบดีทรูแมนแห่งสหรัฐอเมริกาได้มีความเห็นขัดแย้งกับพลเอกแมคอาเธอร์เกี่ยวกับนโยบายในการทำสงคราม
โดยประธานาธิบดีทรูแมนต้องการจำกัดการปฏิบัติการทางทหาร
เพราะไม่ต้องการให้สงครามขยายตัวจนอาจเป็นสงครามโลกได้
แต่นายพลแมคอาเธอร์ไม่เห็นด้วย
ประธานาธิบดีทรูแมนจึงได้สั่งปลดนายพลแมคอาเธอร์ออกจากตำแหน่งในเดือนเมษายน ค.ศ. 1951
ต่อมาในเดือนมิถุนายน
โซเวียตเสนอให้มีการเจรจาเพื่อยุติความขัดแย้งในเกาหลี
การเจรจาได้ดำเนินอยู่หลายปี ก็สามารถลงนามในข้อตกลงหยุดยิงระหว่างจีนกับเกาหลีเหนือฝ่ายหนึ่ง
จนกระทั่งปี ค.ศ. 1953
สงครามในคาบสมุทรเกาหลีจึงได้ยุติลง แต่ความตึงเครียดบริเวณพรมแดนที่เส้นขนานที่ 38 ยังคงดำรงอยู่
สงครามเกาหลีได้ส่งผลกระทบต่อการเมืองระหว่างประเทศในเอเชียหลายประการ
เนื่องจากสงครามเกาหลีนับเป็นการเผชิญหน้าทางทหารครั้งแรกระหว่างสหรัฐอเมริกาและสาธารณรัฐประชาชนจีน
จีนถูกสหรัฐอเมริกากล่าวหาและประณามว่าเป็นผู้รุกรานและก้าวร้าว
คำประณามของสหรัฐอเมริกาทำให้ภาพพจน์ของจีนเสียหายในสายตาของชาวโลก
เพราะมองว่าการที่จีนจำต้องเข้าร่วมรบในสมรภูมิเกาหลี
ก็เพื่อป้องกันมิให้เกาหลีเหนือถูกยึดครอง
ซึ่งจะเป็นภัยต่อความมั่นคงของจีนและยิ่งไปกว่านั้นในการร่วมสงครามครั้งนี้
จีนต้องสูญเสียทรัพยากรต่าง ๆ ซึ่งจีนมีอยู่อย่างจำกัด
ทำให้จีนต้องชะลอการฟื้นฟูบูรณะประเทศไป
วิกฤตการณ์อินโดจีน
เวียดนาม
เวียดนาม ตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส ตั้งแต่ปี
ค.ศ. 1883 ทำให้ใน ปี ค.ศ. 1898 ฝรั่งเศสได้รวมเวียดนาม ลาว และกัมพูชา ไว้ภายใต้การปกครองเรียกว่า
อินโดจีนของฝรั่งเศส มีศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่กรุงไซ่ง่อน
และฝรั่งเศสก็ได้ส่งข้าหลวงใหญ่มาปกครอง
เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นได้เข้ายึดครองอินโดจีน
และได้ประกาศมอบเอกราชให้เวียดนามในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1945
โดยเชิญพระจักรพรรดิเบาได๋ (Bao Dai) ขึ้นเป็นประมุข
เมื่อญี่ปุ่นแพ้สงคราม โฮจิมินห์ นักปฏิวัติชาวเวียดนาม จึงนำกองทัพเวียดมินห์
เข้ายึดครองเวียดนาม และประกาศเอกราชเมื่อวันที่ 2 กันยายน
ค.ศ. 1945 เปลี่ยนชื่อประเทศเวียดนาม เป็น “สาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม” โดยมี
โฮจิมินห์เป็นประธานาธิบดี และนายฟาม-วันดง เป็นนายกรัฐมนตรี
แต่เมื่อญี่ปุ่นถอนทหารออกไปจากเวียดนามหมดแล้ว
ฝรั่งเศสกลับเข้ามาในเวียดนามอีก จึงเกิดการสู้รบกับกองกำลังเวียดมินห์
การสู้รบดำเนินไปถึงวันที่ 7
พฤษภาคม ค.ศ. 1954
กองทัพเวียดมินห์สามารถยึดป้อมเดียนเบียนฟู ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของฝรั่งเศสได้
ฝรั่งเศสยอมเจรจาสงบศึกที่กรุงเจนีวา (Jeneva) ส่งผลให้เวียดนามถูกแบ่งออกเป็น
2 ส่วน คือ เวียดนามเหนือ จัดการปกครองแบบสังคมนิยม
และเวียดนามใต้จัดการปกครองแบบประชาธิปไตย โดยมีเส้นขนานที่ 17 เป็นเส้นแบ่งเขตแดน
สหรัฐอเมริกาได้ให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจและการทหารแก่เวียดนามใต้เพื่อให้มีความเข้มแข็ง
สามารถต้านทานอิทธิพลของเวียดนามเหนือได้ แต่ประธานาธิบดีโงดินเดียม (Ngo Dinh Diem) บริหารงานไม่มีประสิทธิภาพ
ส่งผลให้ประชาชนผนึกกำลังกันจัดตั้ง "แนวร่วมปลดแอกแห่งชาติ"
หรือที่เรียกว่า "เวียดกง"
เพื่อโค่นล้มรัฐบาลโดยใช้ยุทธวิธีการรบแบบสงครามกองโจร
และได้รับการสนับสนุนด้วยอาวุธจากเวียดนามเหนือ จีน และโซเวียต
เวียดนามใต้ได้มีการเปลี่ยนแปลงผู้นำหลายครั้ง
แต่ก็ไม่สามารถทำให้สถานการณ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมมั่นคงได้
การสู้รบระหว่างเวียดกงกับรัฐบาล จึงขยายตัวอย่างกว้างขวาง
สหรัฐอเมริกาจึงส่งทหารเข้าร่วมปฏิบัติการเป็นจำนวนถึง 500,000 คน ในปี ค.ศ. 1968
สงครามเวียดนามจึงกลายเป็นสงครามระหว่างสหรัฐอเมริกากับทหารเวียดนามเหนือและเวียดกง
สหรัฐอเมริกาได้ทุ่มเททั้งกำลังทหารและพยายามใช้ยุทธวิธีต่าง ๆ ในการสู้รบ
แต่ก็ไม่สามารถเอาชนะสงครามได้
เมื่อประธานาธิบดีนิกสันได้รับเลือกตั้งในปี ค.ศ. 1969 ได้ประกาศลัทธินิกสัน (Nixon
Doctrine) และพยายามหาทางเจรจายุติสงคราม
ในที่สุดก็สามารถลงนามในข้อตกลงด้วยการยุติสงครามตามข้อตกลงปารีส เมื่อวันที่ 27
มกราคม ค.ศ. 1973 หลังจากสหรัฐอเมริกาถอนทหารออกจากเวียดนามใต้แล้ว
การสู้รบระหว่างเวียดนามใต้กับเวียดนามเหนือก็ยังคงดำเนินอยู่จนถึงวันที่ 30
เมษายน ค.ศ. 1975 เวียดนามเหนือมีชัยชนะต่อเวียดนามใต้และได้รวมประเทศเวียดนามได้สำเร็จ
กัมพูชา
กัมพูชาได้รับเอกราชจากฝรั่งเศสตามข้อตกลงเจนีวา
เมื่อปี ค.ศ. 1954 โดยมีเจ้านโรดมสุรามริต เป็นกษัตริย์ ส่วนเจ้านโรดมสีหนุ
ได้ตั้งพรรคการเมือง คือ Popular Socialist Party เพื่อลงสมัครรับเลือกตั้งและได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งปี
ค.ศ. 1955 เมื่อเจ้านโรดม สุรามริตสวรรคต ในปี ค.ศ. 1960
เจ้านโรดมสีหนุจึงรวมอำนาจทางการเมืองและประมุขประเทศเข้าด้วยกัน
ในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ
เจ้านโรดมสีหนุได้ประกาศนโยบายเป็นกลางเพื่อที่จะได้รับความช่วยเหลือจากทั้งสองฝ่าย
และเจ้านโรดมสีหนุยังยอมให้เวียดกง
และกองทัพเวียดมินห์เข้ามาตั้งฐานปฏิบัติการตามแนวชายแดนเพื่อสะดวกในการเข้าไปปฏิบัติงานในเวียดนามใต้
กัมพูชาจึงเป็นเป้าหมายให้เวียดนามใต้โจมตี
ทำให้ประชาชนชาวกัมพูชาตามแนวชายแดนได้รับความเดือดร้อน
ปี ค.ศ.
1970 นายพลลอนนอล ทำการยึดอำนาจจากเจ้านโรดมสีหนุ
ในขณะที่พระองค์เสด็จเยือนโซเวียตและจีน นายพลลอนนอลได้จัดตั้งรัฐบาล
เจ้านโรดมสีหนุจึงเสด็จลี้ภัยไปประทับที่กรุงปักกิ่งและสนับสนุนให้คอมมิวนิสต์กัมพูชา
"เขมรแดง" ทำการสู้รบกับรัฐบาลนายพลลอนนอล
สหรัฐอเมริกาจึงส่งทหารเข้าไปปฏิบัติการสู้รบกับฝ่ายเขมรแดง
แต่ก็ไม่สามารถต้านทานกองกำลังเขมรแดงซึ่งมีนายพลพต (Pol Pot) เป็นผู้นำได้
ในที่สุดเขมรแดงก็เข้ายึดกรุงพนมเปญได้สำเร็จเมื่อวันที่ 17 เมษายน ค.ศ. 1975
ได้จัดการปกครองแบบสังคมนิยม และเปลี่ยนชื่อประเทศเป็นกัมพูชาประชาธิปไตย
ต่อมาเวียดนามสนับสนุนให้นายเฮง สัมริน (Heng Samrin) เข้ายึดอำนาจจากนายพลพต
และยึดกรุงพนมเปญได้เมื่อวันที่ 7 มกราคม ค.ศ. 1979 ชาวกัมพูชาส่วนใหญ่จึงอพยพมาตั้งมั่นอยู่ตามแนวชายแดนไทย
โดยแยกเป็น 3 ฝ่าย คือ เขมรรักชาติภายใต้การนำของเจ้านโรดมสีหนุ
เขมรสรีภายใต้การนำของนายซอนซานน์ (Son Sann) และเขมรแดงภายใต้การนำของนายเขียว
สัมพันธ์ (Khieu Samphan) เขมรทั้ง 3
ฝ่ายได้ร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นขึ้น ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ (Kuala
Lumpur) ประเทศมาเลเซีย
โดยได้รับการรับรองจากสหประชาชาติและทำการสู้รบกับกลุ่มเฮง สัมริน
เรื่อยมาตั้งแต่เดือนมกราคม ค.ศ. 1979 ถึงวันที่ 23 ตุลาคม ค.ศ. 1991
จึงได้ลงนามสันติภาพที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส
หลังจากนั้นสหประชาชาติได้แต่งตั้งเจ้าหน้าที่ถ่ายโอนอำนาจที่เรียกว่า UNTAC (United Nations Transitional Authority in Cambodia)
มีนายยาซูซิ อะกาชิ เป็นหัวหน้า
เข้าไปปฏิบัติงานในกัมพูชาเพื่อเตรียมอพยพผู้คนจากศูนย์อพยพตามแนวชายแดนไทยและเตรียมการเลือกตั้งวันที่
23-28 พฤษภาคม ค.ศ. 1993
กัมพูชาจัดการเลือกตั้งแต่เขมรแดงไม่ยอมเข้าร่วมเพราะต้องการผลักดันชาวเวียดนามให้ออกจากกัมพูชา
ผลการเลือกตั้งปรากฏว่า พรรคฟุนชินเปก ของเจ้านโรดม รณฤทธิ์
ได้รับชัยชนะเหนือพรรคประชาชนกัมพูชา ของนายฮุนเซน (Hun Sen) และทั้งสองพรรคได้ร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลปกครองกัมพูชา
โดยมีเจ้านโรดมรณฤทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 1 และนายฮุนเซนเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่
2
ลาว
ฝรั่งเศสได้ผนวกลาวเข้าเป็นอาณานิคม เมื่อปี
ค.ศ. 1898 ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่เมื่อปี ค.ศ. 1944
ญี่ปุ่นเข้ายึดครองลาวและสนับสนุนให้ลาวประกาศเอกราช พระเจ้าศรีสว่างวงศ์
จึงทรงประกาศเอกราชเมื่อวันที่ 8 เมษายน ค.ศ. 1944
แต่เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ฝรั่งเศสได้กลับเข้ามามีอำนาจ
ในลาวอีก ทำให้พวกชาตินิยมไม่พอใจ เจ้าเพชราช จึงจัดตั้ง
"ขบวนการลาวอิสระ" ขึ้นในเดือนกันยายน ค.ศ. 1945
และจัดตั้งรัฐบาลที่กรุงเวียงจันทน์ ในวันที่ 14 กรกฎาคม ค.ศ. 1949 อย่างไรก็ตาม
แม้ฝรั่งเศสจะให้เอกราชแก่ลาว แต่ฝรั่งเศสยังควบคุมนโยบายที่สำคัญ ๆ เช่น การทหาร
เศรษฐกิจ และด้านต่างประเทศ
จากการที่ฝรั่งเศสให้เอกราชแก่ลาวไม่สมบูรณ์ ทำให้ขบวนการลาวอิสระแตกแยกเป็น
2 ฝ่าย คือ ฝ่ายเจ้าบุญอุ้ม ณ จัมปาศักดิ์ และเจ้าสุวรรณภูมา
ซึ่งยอมรับข้อเสนอของฝรั่งเศสเพื่อประนีประนอม
ส่วนเจ้าสุภานุวงศ์ต้องการเอกราชอย่างสมบูรณ์
จึงขอความช่วยเหลือจากขบวนการเวียดมินห์ของโฮจิมินห์
และได้ก่อตั้งขบวนการกู้ชาติคือ "ขบวนการประเทดลาว"
โดยจัดตั้งรัฐบาลที่แคว้นซำเหนือ เมื่อฝรั่งเศสพ่ายแพ้เวียดนามที่เดียนเบียนฟู (Dienbienphu) ลาวจึงได้รับเอกราชตามข้อตกลงที่เจนีวา
ปี ค.ศ. 1954
หลังจากได้รับเอกราช ลาวแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย คือ ทางเหนือ ได้แก่
แขวงพงศาลีและซำเหนือ อยู่ภายใต้การปกครองของเจ้าสุภานุวงศ์
ส่วนทางใต้อยู่ภายใต้การปกครองของเจ้าสุวรรณภูมา ต่อมา ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1957
ลาวทั้ง 2 ฝ่าย ได้จัดตั้งรัฐบาลผสมโดยมีเจ้าสุวรรณภูมา เป็นนายกรัฐมนตรี
แต่ก็ไม่สามารถดำเนินนโยบายร่วมกันได้
ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1960 ร้อยเอกกองแล ทำการปฏิวัติจัดตั้งรัฐบาลโดยมี
เจ้าสุวรรณภูมา เป็นนายกรัฐมนตรี แต่บริหารประเทศได้ไม่นานก็ถูกนายพลภูมีหน่อสวัน
ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกาทำการปฏิวัติและจัดตั้งรัฐบาลโดยมีเจ้าบุญอุ้ม
ณ จัมปาศักดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี หลังจากนั้น ลาวได้แบ่งออกเป็น 3 ฝ่าย คือ
1.
ลาวฝ่ายซ้าย – ภายใต้การนำของเจ้าสุภานุวงศ์
2.
ลาวฝ่ายขวา -
ภายใต้การนำของนายพลภูมีหน่อสวัน
3.
ลาวฝ่ายกลาง – ภายใต้การนำของเจ้าสุวรรณภูมา
ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1962 ลาวทั้ง 3 ฝ่ายได้จัดตั้งรัฐบาลผสม
โดยมีเจ้าสุวรรณภูมาเป็นนายกรัฐมนตรี แต่รัฐบาลผสมไม่สามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้
ทหารต่างชาติ ซึ่งได้แก่ โซเวียต จีน และเวียดนาม รวมทั้งสหรัฐอเมริกา
ต่างก็ประจำอยู่ในลาวเพื่อให้การช่วยเหลือลาวฝ่ายที่ตนให้การสนับสนุน
สหรัฐอเมริกาได้สนับสนุนให้นายพลวังเปาจัดตั้งกองทัพแม้ว
มีฐานปฏิบัติการอยู่ที่ล่องแจ้ง โดยมีศูนย์การฝึกอยู่ที่ จ.อุดรธานี
สงครามในลาวจึงได้เกิดขึ้น โดยรัฐบาลของเจ้าสุวรรณภูมาไม่สามารถสกัดกั้นไว้ได้
เมื่อสหรัฐอเมริกาถอนตัวออกจากอินโดจีน ตามวาทะนิกสัน ขบวนการปะเทดลาวจึงยื่นข้อเสนอต่อรัฐบาลให้จัดตั้งรัฐบาลผสมอีกครั้ง
โดยมีเจ้าสุวรรณภูมาเป็นนายกรัฐมนตรี กระทั่งในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1975
ขบวนการปะเทดลาวหรือลาวฝ่ายซ้าย ก็สามารถยึดอำนาจการปกครองลาวได้
ลาวดำเนินการปกครองตามแนวสังคมนิยม โดยมีเจ้าสุภานุวงศ์ เป็นประธานาธิบดี และนายไกรสร
พรหมวิหาร เป็นนายกรัฐมนตรี
ปัจจุบันผู้นำประเทศลาวเปลี่ยนชื่อเรียกเป็นประธานประเทศ
วิกฤตการณ์ช่องแคบฟอร์โมซา
แต่เดิมเกาะไต้หวันมี ชื่อว่า เกาะฟอร์โมซา (Formosa) หรือ Ilha Formosa ในภาษาโปรตุเกส แปลว่า "เกาะสวยงาม"
เนื่องจากประเทศโปรตุเกสเคยเดินทางมายังเกาะนี้และได้ตั้งชื่อเอาไว้
แต่ก็ไม่ได้ยึดเอามาเป็นอาณานิคม
ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1954 จีนมีนโยบายที่จะรวมไต้หวันกลับคืนมาเป็นของจีน
แต่ทางสหรัฐอเมริกาได้ส่งกองเรือที่ 7 มาลาดตระเวนในทะเลจีนตอนใต้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ช่องแคบไต้หวัน ทำให้จีนพยายามผลักดันให้สหรัฐอเมริกาออกจากบริเวณนี้
ด้วยการระดมยิงหมู่เกาะนอกฝั่งที่ช่องแคบไต้หวัน อันได้แก่ เกาะคีมอยและเกาะมัทสุ
สหรัฐอเมริกามองว่าจีนเป็นผู้รุกราน ดังนั้นในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1954
สหรัฐอเมริกาจึงออกแถลงการณ์ว่า สหรัฐอเมริกาจะป้องกันเกาะคีมอยและเกาะมัทสุ
เช่นเดียวกับเกาะไต้หวัน จากนั้น
สหรัฐอเมริกาได้ส่งกองทหารไปประจำที่ไต้หวันและได้ลงนามในสัญญาพันธมิตรทางทหารเพื่อการป้องกันร่วมกันกับไต้หวัน
เมื่อจีนเห็นว่าวิธีการของตนไม่ประสบผลสำเร็จ
แต่กลับทำให้สหรัฐอเมริกามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับไต้หวันยิ่งขึ้น
จีนจึงลดการะดมยิงและยุติไปในที่สุด
ขณะที่สหรัฐอเมริกามองว่าจีนเป็นตัวแทนของโซเวียต เพราะจีนได้ลงนามในสัญญามิตรภาพ
พันธมิตรและความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เป็นเวลา 30 ปี ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.
1950 สหรัฐอเมริกาจึงเริ่มนโยบายปิดล้อม (Containment
Policy) เข้ามาในเอเชีย โดยการทำสัญญาพันธมิตรทางทหารกับประเทศต่าง
ๆ ในเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไทย เป็นต้น
วิกฤตการณ์คิวบา
คิวบาได้เปลี่ยนแปลงเป็นคอมมิวนิสต์ เมื่อ 1
มกราคม ค.ศ. 1959 เมื่อนายฟิเดล คาสโตร
สามารถยึดอำนาจจากรัฐบาลเผด็จการของนายพลบาติสตา (Batista) ซึ่งสหรัฐอเมริกาสนับสนุนอยู่
คาสโตรต้องการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมในคิวบาให้มีความยุติธรรมและความเท่าเทียมกันมากขึ้น
โดยดำเนินการปฏิรูปที่ดินและปรับปรุงสวัสดิการทางสังคมแก่ประชาชน
คาสโตรเป็นนักปฏิวัติชาตินิยมและต่อต้านสหรัฐอเมริกา
เพราะสหรัฐอเมริกาเข้าครอบงำและมีอิทธิพลทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจในคิวบามาเป็นเวลาช้านาน
อีกทั้งยังมีฐานทัพอยู่ที่กวนตานาโม (Guantanamo)
บนเกาะคิวบา
คาสโตรจึงรู้สึกหวาดระแวงสหรัฐอเมริกาและมีนโยบายใกล้ชิดกับประเทศคอมมิวนิสต์
โดยเฉพาะอย่างยิ่งโซเวียตซึ่งได้ให้ความช่วยเหลือทั้งทางด้านทหารและทางเศรษฐกิจแก่คิวบา
ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างคิวบากับโซเวียตทำให้สหรัฐอเมริกาไม่พอใจ
เพราะจะช่วยขยายอิทธิพลของโซเวียตแถบทะเลแคริบเบียนและอเมริกากลาง
ในขณะเดียวกันชาวคิวบาที่ลี้ภัยในสหรัฐอเมริกาก็ได้รับการฝึกฝนและสนับสนุนจากองค์การข่าวกรองกลาง
หรือซีไอเอของสหรัฐอเมริกาให้ยกพลขึ้นบกในคิวบาเพื่อโค่นล้มคาสโตร
แผนการนี้ได้เริ่มในปลายสมัยประธานาธิบดีไอเซนฮาวเวอร์
ต่อมาเมื่อได้รับอนุมัติจากประธานาธิบดีเคเนดี้
กองกำลังคิวบาลี้ภัยได้ยกพลขึ้นบกที่เบย์
ออฟ พิกส์
กองกำลังคิวบาลี้ภัยได้ยกพลขึ้นบกที่เบย์ ออฟ
พิกส์ (Bay of Pigs) ในเดือนเมษายน ค.ศ.
1961 เพียง 3 เดือนภายหลังจากที่เคเนดี้ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี
โดยผู้ลี้ภัยคิวบาเหล่านี้ คาดหวังว่าจะได้รับการสนับสนุนจากประชาชนในการโค่นอำนาจคาสโตร
แต่การยกพลขึ้นบกครั้งนี้ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
เพราะขาดการวางแผนที่ถูกต้องและการประสานงานกับชาวคิวบาที่ต่อต้านคาสโตรภายในประเทศ
ยิ่งไปกว่านั้น
กองกำลังปฏิวัติของคาสโตรสามารถจับกุมชาวคิวบาลี้ภัยเหล่านี้และใช้เป็นเครื่องมือในการโฆษณาชวนเชื่อต่อต้านสหรัฐอเมริกา
ภาพพจน์ของสหรัฐอเมริกาและประธานาธิบดีเคเนดี้ต้องเสียหายอย่างมากจากกรณีการบุกคิวบาในครั้งนี้
คิวบาได้กลายเป็นปัญหาใหญ่ทางยุทธศาสตร์ของสหรัฐอเมริกาในปีต่อมา
ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1962
ฝ่ายข่าวกรองของสหรัฐอเมริกาได้ค้นพบจากภาพถ่ายทางอากาศว่า
โซเวียตกำลังสร้างฐานส่งขีปนาวุธนิวเคลียร์บนเกาะคิวบา
ซึ่งถ้าหากสร้างสำเร็จและติดตั้งขีปนาวุธได้ก็จะเปรียบประดุจมีขีปนาวุธนิวเคลียร์อยู่หน้าประตูบ้านของสหรัฐอเมริกา
ซึ่งจะเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อความมั่นคงของสหรัฐอเมริกา
ขณะที่
ครุสชอฟ ประธานาธิบดีของโซเวียต คงคิดว่าจะสามารถลอบสร้างฐานยิงจนเสร็จ
และเมื่อติดตั้งขีปนาวุธแล้วสหรัฐอเมริกาก็คงไม่กล้าทำอะไร
เพราะจะเป็นการเสี่ยงอย่างมากต่อสงครามนิวเคลียร์
อีกทั้งสหรัฐอเมริกาก็ดูเหมือนจะไม่กล้าใช้กำลังรุนแรงโซเวียต
เพราะเชื่อว่าตนจะได้เปรียบทางยุทธศาสตร์และจะทำให้พันธมิตรนาโต้ของสหรัฐอเมริกาหมดความเชื่อถือว่า
สหรัฐอเมริกาจะสามารถปกป้องยุโรปตะวันตกได้เมื่อเกิดสงคราม
แต่ผู้นำของโซเวียตก็คาดคะเนผิดพลาด
เพราะประธานาธิบดีเคเนดี้ของสหรัฐอเมริกาได้ตอบโต้อย่างหนักแน่นโดยการปิดล้อมคิวบา
ในวันที่ 22 ตุลาคม ค.ศ. 1962
ประธานาธิบดีเคเนดี้ได้แจ้งให้โซเวียตทราบถึงการปิดล้อมคิวบา พร้อมเตือนโซเวียต
ในระหว่างวิกฤตการณ์กองกำลังยุทธศาสตร์ของสหรัฐอเมริกาได้เตรียมพร้อมต่อการถูกโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์
สหรัฐอเมริกาได้ส่งเจ้าหน้าที่ระดับสูงไปชี้แจงสถานการณ์พร้อมด้วยภาพถ่ายและหลักฐานอื่น
ๆ ต่อคณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติและพันธมิตรในยุโรป
จุดวิกฤตของสถานการณ์ครั้งนี้ก็คือ เมื่อเรือสินค้าจำนวนหนึ่งของโซเวียต
ซึ่งเชื่อว่าบรรทุกขีปนาวุธนิวเคลียร์เพื่อมาติดตั้งยังคิวบาได้เข้าใกล้กองเรือของสหรัฐอเมริกาที่กำลังปิดล้อมคิวบาอยุ่ในวันที่
24 ตุลาคม แต่เรือเหล่านี้ก็หันลำกลับไปยังโซเวียต
โดยมิได้ฝ่ากองเรือปิดล้อมเข้ามา ซึ่งถ้าหากโซเวียตไม่ยอมอ่อนข้อในกรณีนี้
สงครามนิวเคลียร์ระหว่างมหาอำนาจทั้งสองก็อาจเกิดขึ้นได้
อีก 4
วัน ต่อมา ครุสชอฟผู้นำของโซเวียตก็ยอมประนีประนอม
และแถลงว่าจะถอนฐานยิงและจรวดต่าง ๆ ออกไปจากคิวบา
ถ้าหากสหรัฐอเมริกายอมตกลงที่จะไม่บุกคิวบา
ในที่สุดวิกฤตการณ์อันตึงเครียดและการเผชิญหน้าระหว่างมหาอำนาจนิวเคลียร์ก็ผ่านไปโดยเรียบร้อย
ประธานาธิบดีเคเนดี้แห่งสหรัฐอเมริกาได้รับการยกย่องว่ามีความกล้าหาญและชาญฉลาดในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ
ใช้เครื่องมือทางการทูตและการทหารที่เหมาะสมเปิดโอกาสและทางออกให้ฝ่ายตรงข้ามอย่างโซเวียตเสียเกียรติภูมิไปบ้าง
และต่อมาครุสชอฟถูกกดดันให้ลาออกจากตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์โซเวียต
และใน ค.ศ. 1965 เลโอนิด เบรสเนฟ (Leonid
Brezhnev) ได้ขึ้นมาเป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์แทน
ในขณะเดียวกันนั้นเอง ลินดอน จอห์นสัน (Lyndon B. Johnson) ก็ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐอเมริกา
ความสำเร็จในวิกฤตการณ์คิวบา
ทำให้ผู้นำของสหรัฐอเมริกามีความเชื่อมั่นในแสนยานุภาพและความแข็งแรงของตน
ส่วนโซเวียตก็ได้รับบทเรียนและเร่งสะสมอาวุธนิวเคลียร์มากขึ้น
เพื่อที่จะได้มีความเท่าเทียมทางยุทธศาสตร์กับสหรัฐอเมริกา
สถานการณ์หลังสงครามเย็น
ในช่วงทศวรรษ 1980-1991
ถือเป็นช่วงที่เกิดเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงในสหภาพโซเวียต เมื่อในช่วงนั้นสาธารณรัฐเล็ก
ๆ
ที่เป็นชนกลุ่มน้อยในสหภาพโซเวียตได้เริ่มปลุกกระแสชาตินิยมเพื่อเรียกร้องอิสรภาพจากโซเวียต
และโดยเฉพาะในช่วงปี 1985-1991 ที่ มิฮาอิล กอร์บาชอฟ
ได้นำนโยบายกาสนอสท์-เปเรสทรอยก้า มาใช้ปฏิรูปประเทศ
ซึ่งการปฏิรูปดังกล่าวได้ทำให้ประชาชนในสหภาพโซเวียตเริ่มตระหนักถึงเสรีภาพในการดำรงชีวิต
และในที่สุดก็นำไปสู่การล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปี 1991
ทั้งนี้
เมื่อลัทธิคอมมิวนิสต์ในโซเวียตล่มสลายแล้วก็นับเป็นการสิ้นสุดของยุคสงครามเย็นและเข้าสู่ศตวรรษที่
21 หรือโลกในยุคโลกาภิวัตน์ ที่จัดเป็นโลกในสังคมแห่งยุคข่าวสาร
จากนั้นบทบาทของโซเวียตในเวทีโลกก็ลดน้อยลงไปอย่างเห็นได้ชัด
เพราะการแตกออกเป็นสาธารณรัฐต่าง ๆ ทำให้สหภาพโซเวียตเดิมอ่อนแอลงมาก
อีกทั้งการเกิดขึ้นของรัสเซียใหม่ (Neo-Russia)
ภายหลังการล่มสลายของโซเวียต ก็ทำให้รัสเซียต้องหมกมุ่นอยู่กับปัญหาการเมืองภายในของตัวเอง
และปัญหาของการเป็นผู้นำกลุ่มประเทศในเครือจักรภพรัฐเอกราช
ดังนั้นจึงทำให้สหรัฐอเมริกาก้าวเข้ามามีบทบาทเต็มที่เพียงหนึ่งเดียวในโลกยุคโลกาภิวัตน์
นอกจากนี้
เหตุการณ์ที่เป็นนับว่าเป็นสัญลักษณ์ของการสิ้นสุดของสงครามเย็น ก็คือ
การทำลายกำแพงเบอร์ลิน ในวันที่ 9 พฤศจิกายน ค.ศ. 1989
และการรวมประเทศเยอรมนีทั้งสองเข้าเป็นประเทศเดียวกัน ในปี ค.ศ. 1990
พร้อมกับการสิ้นอำนาจของรัฐบาลคอมมิวนิสต์ในหลายประเทศของยุโรปตะวันออก
และการล่มสลายของกำแพงเบอร์ลิน ถือเป็นจุดเริ่มต้นของสันติภาพหลังยุคสงครามเย็นอย่างแท้จริง
สงครามเย็น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น