อารยธรรมลุ่มแม่น้ำไทกริส-ยูเฟรติสหรือ
เมโสโปเตเมีย
วันพฤหัสบดีที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2557
สมัยก่อนประวัติศาสตร์
สมัยก่อนประวัติศาสตร์
เนื่องจากสมัยก่อนประวัติศาสตร์ยังไม่มีตัวอักษรใช้บันทึกเรื่องราวนักโบราณคดีจะศึกษาเรื่องราวสมัยก่อนประวัติศาสตร์โดยอาศัยหลักฐานทางโบราณคดี
เช่น โครงกระดูกมนุษย์เครื่องมือเครื่องใช้อาวุธต่างๆ เครื่องมือหิน
เครื่องปั้นดินเผา เครื่องประดับตลอดจนถ้ำเพิงพาภาพวาดที่มนุษย์อยู่อาศัยและวาดไว้
เป็นต้น และเนื่องจากสมัยก่อนประวัติศาสตร์มี
อายุยาวนานมากนักโบราณคดีจึงต้องมีการแบ่งเป็นสมัยย่อย โดยใช้หลักเกณฑ์สำคัญ คือ
ความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีการทำเครื่องมือเครื่องใช้เป็นหลักในการแบ่ง
ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 2 ยุคใหญ่ๆ คือ ยุคหินกับยุคโลหะ
1.ยุคหิน (Stone Age)
เป็นยุคที่มนุษย์เริ่มรู้จักนำหินมาปรับใช้เป็นเครื่องมือเครื่องใช้หรืออุปกรณ์และอาวุธนักโบราณคดีกำหนดให้ยุคหินของมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์
(สากล) อยู่ระหว่าง 2.5 ล้านปี ถึงประมาณ 4,000 ปี มาแล้วแต่เนื่องจากสิ่งที่เหลือเป็นหลักฐานอยู่จนถึงปัจจุบันมีเพียงชนิดเดียวคือหิน
ดังนั้นเราจึงเรียกยุคนี้ว่ายุคหิน ทั้งนี้ยุคหินตามพัฒนาการ
เทคโนโลยีการทำเครื่องมือเครื่องใช้ยังแบ่งออกเป็น 3 ยุคย่อย
คือ ยุคหินเก่า ยุคหินกลาง และยุคหินใหม่ ดังนี้
1.1 ยุคหินเก่า (Paleolithic Period หรือ Stone
Age)
อยู่ระหว่าง
2,500,000-10,000
ปี
มาแล้วมนุษย์ในยุคนี้อาศัยอยู่ในถ้ำหรือเพิงผายังไม่มีความคิดสร้างที่อยู่อาศัยโดยใช้วัสดุธรรมชาติหรือตั้งรกรากถาวรดำรงชีวิตด้วยการล่าสัตว์หาปลาและเก็บหาผลไม้ในป่าเมื่ออาหารตามธรรมชาติ
หมดก็อพยพไปหาแหล่งอาหารที่อื่นต่อไปมนุษย์ยุคหินเก่ารู้จักประดิษฐ์เครื่องมืออย่างหยาบๆเครื่องมือที่ใช้ทั่วไปคือเครื่องมือหินกะเทาะที่มีลักษณะหยาบใหญ่หนากะเทาะเพียงด้านเดียวหรือสองด้านไม่มี
การฝนให้เรียบมนุษย์ยุคหินเก่ารู้จักนำหนังสัตว์มาทำเป็นเครื่องนุ่งห่มรู้จักใช้ไฟเพื่อให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายให้แสงสว่างให้ความปลอดภัยและหุงหาอาหารมีการฝังศพทำพิธีกรรมเกี่ยวกับการตายและมี
การนำเครื่องมือเครื่องใช้และอาวุธต่างๆของผู้ตายฝังไว้ในหลุมด้วยนอกจากนี้มนุษย์ยุคหินเก่ายังรู้จักสร้างสรรค์งานศิลปะ
ซึ่งพบภาพวาดตามผนังถ้ำที่ใช้สีฝุ่นสี ต่างๆได้แก่ สีดำ น้ำตาล ส้ม
แดงอ่อนและเหลืองภาพที่วาดส่วนใหญ่เป็นภาพสัตว์ เช่น วัวกระทิง ม้าป่า กวางแดง
เป็นต้น ภาพวาดที่มีชื่อเสียงของมนุษย์ยุคหินเก่าอยู่ที่ถ้ำลาสโกประเทศฝรั่งเศส
เครื่องมือที่พบในยุคหินใหม่
2.ยุคโลหะ
(Metal
Age)
เริ่มเมื่อประมาณ4,000
ปี มาแล้วมนุษย์ยุคนี้มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
ขึ้นอย่างเห็นได้ชัดอันแสดงถึงการพัฒนาความสามารถทางความคิดด้วยการมีความสามารถนำโลหะมาทำเป็นเครื่องมือเครื่องใช้นั่นเองในระยะแรกของยุคโลหะจะพบว่าพวกเขารู้จักหลอมทองแดงและดี
บุกซึ่งเป็นโลหะที่ใช้อุณหภูมิ ไม่สูงนักในการหลอมต่อมาจึงพัฒนาความรู้และเทคโนโลยี
ขึ้นมาจนสามารถหลอมเหล็กได้ซึ่งการหลอมเหล็กต้องใช้อุณหภูมิสูงนักโบราณคดีจึงแบ่งยุคโลหะออกเป็น
2 ยุคตามความแตกต่างของระดับเทคโนโลยี
และวัสดุที่นำมาใช้ทำเครื่องมือเครื่องใช้ดังนี้
2.1 ยุคสำริด (Bronze Age)
การเริ่มต้นของยุคสำริดในแต่ละภูมิ
ภาคจะต่างกันไปแต่ส่วนใหญ่จะเริ่มระหว่างประมาณ4,000ปี
มาแล้วในช่วงเวลานี้มนุษย์รู้จักนำทองแดงผสมกับดีบุกหลอมรวมกันกลายเป็นโลหะผสมที่เราเรียกว่า
สำริดมาใช้ทำเป็นเครื่องมือเครื่องใช้และอาวุธที่มี คุณภาพดี กว่าที่ทำจากหินขัดมากการดำรงชีวิตของมนุษย์ยุคนี้ก็เปลี่ยนไปจากการเป็นชุมชนเกษตรกรรมเล็กๆกลายเป็นชุมชนขนาดใหญ่ที่เราเรียกว่าชุมชนเมืองมี
การจัดแบ่งความสัมพันธ์ของคนในสังคมตามความสัมพันธ์และความสามารถซึ่งพัฒนาการนี้ทำให้สังคมมี
ความมั่นคงและมีการสั่งสมอารยธรรมได้อย่างรวดเร็วกว่าที่ผ่านมาแหล่งอารยธรรมสำคัญที่มีพัฒนาการจากสังคมสมัยหินใหม่สู่สมัยสำริดเช่น
แหล่งอารยธรรมเมโสโปเตเมียในภูมิภาคเอเชีย-ตะวันตกแหล่งอารยธรรมลุ่มแม่น้ำไนล์ในประเทศอียิปต์แหล่งอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุในประเทศอินเดียและแหล่งอารยธรรมลุ่มแม่น้ำฮวงโหวในประเทศจีนเป็นต้น
2.2
ยุคเหล็ก (Iron
Age)
เริ่มเมื่อประมาณ 3,200 ปี
มาแล้วเป็นช่วงของการพัฒนาการทางเทคโนโลยี
ที่ต่อเนื่องจากยุคสำริดหลังจากที่มนุษย์สามารถนำทองแดงมาผสมกับดีบุกและหลอมเป็นโลหะผสมได้แล้วมนุษย์ก็
คิดค้นหาวิธี นำเหล็กซึ่งเป็นโลหะที่มี ความแข็งและทนทานกว่าสำริดมาทำเป็นเครื่องมือเครื่องใช้และอาวุธด้วยการใช้อุณหภูมิ
ในการหลอมที่สูงกว่าการหลอมสำริดแล้วจึงตีโลหะเหล็กในขณะที่ยังร้อนอยู่ให้เป็นรูปทรงที่ต้องการเนื่องจากเหล็กใช้ทำเครื่องมือเครื่องใช้มี
ความเหมาะสมกับงานการเกษตรที่ต้องใช้ความแข็งแรงมากกว่าสำริดและมีความทนทานกว่าด้วยจึงทำให้มนุษย์ยุคเหล็กสามารถทำการเกษตรได้ผลผลิตเพิ่มมากขึ้นนอกจากนี้เหล็กยังใช้
ทำอาวุธที่มี ความแข็งแกร่งและทนทานกว่าสำริดจึงทำให้
สังคมมนุษย์ยุคนี้ที่พัฒนาเข้าสู่ยุคเหล็กและเข้าสู่ความเป็นรัฐได้ด้วยการมี
กองทัพที่มีประสิทธิภาพกว่าสามารถปกป้อง
เครื่องมือการเกษตรที่พบในยุคเหล็ก
สมัยประวัติศาสตร์
สมัยประวัติศาสตร์
1.ประวัติศาสตร์สมัยโบราณ(3,500
ปีก่อนคริสต์ศักราช-ค.ศ. 476)
เริ่มเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกบริเวณดินแดนเมโสโปเตเมียแถบลุ่มแม่น้ำไทกริส-ยูเฟรทีสและดินแดนอียิปต์แถบลุ่มแม่น้ำไนล์ที่ชาวเมโสโปเตเมียและชาวอียิปต์รู้จักประดิษฐ์ตัวอักษรได้เมื่อ
3,500 ปี ก่อนคริสต์ศักราชจากนั้นอิทธิ
พลของความเจริญของสองอารยธรรมก็ได้แพร่หลายไปยังทางใต้ของยุโรปสู่เกาะครีตต่อมาชาวกรีกได้รับเอาความเจริญจากเกาะครีตและความเจริญของอียิปต์มาสร้างสมเป็นอารยธรรมกรีกขึ้นและเมื่อชาวโรมันในแหลมอิตาลียึดครองกรีกได้ชาวโรมันก็นำอารยธรรมกรีกกลับไปยังโรมและสร้างสมอารยธรรมโรมันขึ้นต่อมาเมื่อชาวโรมันสถาปนาจักรวรรดิโรมันพร้อมกับขยายอาณาเขตของตนไปอย่างกว้างขวางอารยธรรมโรมันจึงแพร่ขยายออกไปจนกระทั่งจักรวรรดิโรมันล่มสลายลงเมื่อพวกชนเผ่าเยอรมันเข้ายึดกรุงโรมได้ใน
ค.ศ. 476 ประวัติศาสตร์สมัยโบราณของชาติตะวันตกจึงสิ้นสุดลง
2.
ประวัติศาสตร์สมัยกลาง (ค.ศ.476 -ค.ศ.1453)
เริ่มตั้งแต่การสิ้นสุดของจักรวรรดิโรมันตะวันตกในค.ศ.476
เมื่อถูกพวกอนารยชนเยอรมันเผ่าวิสิกอธ (Visigoth)โจมตี
ซึ่งเหตุการณ์นี้ถือเป็นจุดสิ้นสุดของจักรวรรดิโรมันตะวันตกเมื่อจักรวรรดิโรมันตะวันตกล่มสลายลงสภาพทั่วไปของกรุงโรมเต็มไปด้วยความวุ่นวายการเมืองเศรษฐกิจและสังคมอ่อนแอประชาชนอดอยากขาดที่พึ่งมีปัญหาเรื่องโจรผู้ร้ายเนื่องจากช่วงเวลานี้ยุโรปตะวันตกไม่มีจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ปกครองดังเช่นจักรวรรดิโรมันนอกจากนี้ยังถูกพวกอารยชนเผ่าต่างๆเข้ามารุกรานส่งผลให้อารยธรรมกรีกและโรมันอันเจริญรุ่งเรืองในยุโรปตะวันตกได้หยุดชะงักลงนักประวัติศาสตร์สมัยก่อนจึงเรียกช่วงสมัยนี้อีกชื่อหนึ่งว่ายุคมืด
(Dark Ages) หลังจากนั้น
ศูนย์กลางของอำนาจยุโรปได้ย้ายไปอยู่ที่เมืองไบแซนติ อุม(Byzantium) ซึ่งอยู่ในประเทศตุรกีปัจจุบันโดยจักรพรรดิคอนสแตนติน (Constantion)
เป็นผู้สถาปนาจักรวรรดิ แห่งใหม่ที่มี ความเจริญรุ่งเรืองซึ่งต่อมาเป็นที่รู้จักกันในชื่อคอนสแตนติโนเปิล(Constantinople)
ตามชื่อของจักรพรรดิคอนสแตนตินประวัติศาสตร์สมัยกลางนี้เป็นช่วงเวลาที่มี
การเปลี่ยนแปลงอารยธรรมตะวั
นตกจากอารยธรรมโรมันไปสู่อารยธรรมคริสต์ศาสนาเป็นสมัยที่ตะวันตกได้รับอิทธิพลอย่างมากจากคริสต์ศาสนาทั้งทางด้านการเมืองเศรษฐกิจสังคมและศิลปวัฒนธรรมนอกจากนี้สังคมสมัยกลางยังมีลักษณะเป็นสังคมในระบบฟิวดัล
(Feudalism) หรือสังคมระบบศักดิ
นาสวามิภักดิ์ที่ขุนนางมีอำนาจครอบครองพื้นที่โดยประชาชนส่วนใหญ่มีฐานะเป็นข้าติดที่ดิน
(sert) และดำรงชีวิตอยู่ในเขตแมเนอร์ (Manor) ของขุนนางซึ่งเป็นลักษณะพิเศษของสังคมสมัยกลางนอกจากนี้ในสมัยกลางนี้ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญคือสงครามครูเสดซึ่งเป็นสงครามความขัดแย้งระหว่างคริสต์ศาสนากับศาสนาอิสลามที่กินเวลาเกือบ
200 ปีเป็นผลให้เกิดการค้นหาเส้นทางการค้าทางทะเลและวิทยาการด้านอื่นๆตามมาสมัยกลางสิ้นสุดใน
ค.ศ.1453
เมื่อพวกออตโตมันเตอร์กสามารถยึดกรุงคอนสแตนติโนเปิลของจักรวรรดิโรมันตะวันตกได้
3.ประวัติศาสตร์สมัยใหม่
(ค.ศ.1453-1945)
ประวัติศาสตร์ตะวันตกสมัยใหม่ถือว่าเริ่มต้นใน
ค.ศ. 1453 เป็นปีที่ชนเผ่าเติร์กโจมตีและสามารถยึดกรุงคอนสแตนติโนเปิลได้เป็นผลให้ศูนย์กลางความเจริญรุ่งเรืองกลับมาอยู่ในยุโรปตะวันตกอีกครั้งในระหว่างนี้ในยุโรปตะวันตกเองกำลังมีความเจริญก้าวหน้าทางด้านความคิดและศิลปะวิทยาการต่างๆจากพัฒนาการของการฟื้นฟูศิลปะวิทยาการที่ดำเนินมายุโรปจึงกลับมารุ่งเรืองอีกครั้งในครั้งนี้ได้มี
การสำรวจและขยายดินแดนออกไปกว้างไกลจนเกิดเป็นยุคล่าอาณานิคมซึ่งต่อมานำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างประเทศกลายเป็นสงครามใหญ่ที่เรียกกันว่าสงครามโลกถึงสองครั้งภายในเวลาห่างกันเพียง
20 ปีในช่วงเวลาเกือบห้าร้อยปี ของประวัติศาสตร์สมัยใหม่มี เหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นมากมายที่โดดเด่นและมี
ผลกระทบยาวไกลต่อเนื่องมาจนถึงโลกปัจจุบันได้แก่ การสำรวจทางทะเล
การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ การปฏิวัติอุตสาหกรรมการกำเนิดแนวคิดทางการเมืองใหม่
(เสรีนิยมชาตินิยมและประชาธิปไตย) การขยายดินแดนหรือการล่าอาณานิคม
(จักรวรรดินิยม) และสงครามโลกสองครั้งเหตุการณ์สำคัญๆหลายประการในช่วงเวลาของประวัติศาสตร์โลกสมัยใหม่ได้ส่งผลสืบเนื่องต่อพัฒนาการของประวัติศาสตร์โลกสมัยปัจจุบันอย่างมากมาย
4.ประวัติศาสตร์สมัยปัจจุบัน(ค.ศ.1945-ปัจจุบัน)
หรือเรียกกันว่าประวัติศาสตร์รวมสมัย
เริ่มตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่
2 สิ้นสุดลงซึ่งมี
ผลกระทบอย่างรุนแรงทั่วโลกและก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งทางด้านเศรษฐกิจสังคมการเมืองการปกครองของสังคมโลกในปัจจุบันโดยช่วงประวัติศาสตร์สมัยปัจจุบันมีเหตุการณ์
ดังนี้ สงครามเย็น ยุคโลกาวิวัฒน์
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)